ช่องว่างระหว่างรายได้ของคนรวยกับคนจนคือหนึ่งปัจจัยหลักที่ทำให้เกิดความเหลื่อมล้ำขึ้นในสังคม ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนในโลก หากจะเรียกหาสิทธิความเท่าเทียมกันคงไม่มี ไม่เว้นกระทั่งเรื่องของสิ่งแวดล้อม ที่มีการวิจัยออกมาว่า ประเทศที่ร่ำรวยสามารถรับมือกับปัญหาสภาพภูมิอากาศเปลี่ยนแปลงได้ดีกว่า และคนรวยคือ ผู้สร้างปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่มากกว่า ในขณะที่คนจนต้องรับเคราะห์เผชิญกับความเลวร้ายจากปัญหาสภาวะโลกรวนที่หนักหนากว่า...
งานวิจัยจาก University of Leeds ทำการเก็บข้อมูลจาก 86 ประเทศ พบว่าสาเหตุหลักที่ทำให้เกิดปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของโลกนั้นมาจากกลุ่มคนร่ำรวยและมีฐานะ
รายละเอียดของงานวิจัยพบว่า 10% ของผู้คนที่รวยที่สุดนั้นใช้พลังงานโดยรวมๆ แล้วมากกว่า 10% ของผู้คนที่จนที่สุดถึง 20 เท่า นอกจากนั้นยังพบว่ายิ่งคนรวยขึ้นเท่าไรจะยิ่งใช้พลังงานมากขึ้นเท่านั้น
👉กิจกรรมที่แสดงให้เห็นถึงความแตกต่างที่สุดระหว่างคนรวยและคนจนคือ การคมนาคม โดย 10% ของผู้คนที่รวยที่สุดนั้นใช้พลังงานไปกับการคมนาคมมากกว่า 10% ของผู้คนที่จนที่สุดถึง 187 เท่า ความแตกต่างนี้อาจเป็นเพราะคนจนคงไม่สามารถเดินทางด้วยยานพาหนะส่วนตัวได้เหมือนคนรวย จะเห็นได้ว่าบรรดามหาเศรษฐีเดินทางโดยเครื่องบินบ่อยมาก ขณะที่ประชากรร้อยละ 57 ของอังกฤษกลับไม่เคยนั่งเครื่องบินเลย
ทั้งยังมีงานวิจัยที่ตีพิมพ์ใน Nature Energy แสดงให้เห็นว่าพลังงานที่ใช้ในการปรุงอาหารและให้ความอบอุ่นนั้นมีการใช้ในระดับที่ไม่แตกต่างกันมากระหว่างคนรวยและคนจน แต่ 10% ของคนที่รวยที่สุดก็ใช้พลังงานประมาณ 1 ใน 3 ไปกับการปรุงอาหารและให้ความอบอุ่นทั้งหมด ทั้งนี้อาจเป็นเพราะบ้านของคนรวยนั้นมีขนาดใหญ่กว่า
นอกจากนั้นยังมีงานวิจัยที่เผยให้เห็นข้อมูลอีกว่า แม้ว่าที่ผ่านมาผู้คนที่อาศัยอยู่ในประเทศยากจนจะมีโอกาสเข้าถึงโครงสร้างพื้นฐาน พลังงาน และทรัพยากรน้อย อันส่งผลให้มีส่วนในการสร้างก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์น้อยลงตามไปด้วยนั้น แต่พวกเขากลับเป็นผู้ที่ได้รับผลกระทบที่เลวร้ายที่สุดจากการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่มากขึ้น เพราะประเทศร่ำรวยมักมีทรัพยากร มีเทคโนโลยี และเม็ดเงินในการช่วยปรับตัวและรับมือกับปัญหาสภาพภูมิอากาศเปลี่ยนแปลง ซึ่งมีโครงสร้างพื้นฐานอย่างระบบน้ำ และที่พักอาศัยที่แข็งแรงกว่า
🥹ที่หนักหนาไปกว่านั้น ประเทศยากจนส่วนใหญ่ยังต้องพึ่งพารายได้จากการทำเกษตรกรรม และปัญหาจากการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศนั้นเป็นปัจจัยที่เร่งให้ดินเสื่อมโทรม ฝนที่เคยตกต้องตามฤดูกาลก็ไม่ตกอย่างที่เคยเป็น ผู้คนต้องผจญกับภัยแล้งที่ทวีความรุนแรงมากขึ้น ส่งผลให้การผลิตอาหารลดลง อนาคตคาดว่าจะมีผู้คนราว 600 ล้านคนในแอฟริกาต้องเผชิญกับภาวะทุพโภชนาการเนื่องจากระบบเกษตรล่มสลาย ประชาชนอีก 1.8 พันล้านคนอาจประสบปัญหาขาดแคลนน้ำ โดยเฉพาะในแถบทวีปเอเชีย
ความแห้งแล้งในโซมาเลีย และน้ำท่วมที่ไนจีเรีย คือภาพตัวอย่างของชุมชนที่อาศัยอยู่ในประเทศยากจน ที่มักอยู่ในแนวหน้าของการได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ และต้องเผชิญกับผลกระทบที่รุนแรงที่สุด
สิ่งเหล่านี้ไม่ได้เป็นเพียงกระจกสะท้อนที่ทำให้เห็นภาพความเหลื่อมล้ำระหว่างคนจนและคนรวย อันมีเหตุมาจากสภาวะแปรปรวนของโลกเท่านั้น แต่เป็นการฉายภาพที่ทำให้เห็นถึงปัญหาของความไม่เท่าเทียมกันที่หยั่งรากฝังลึกมานานในโลกนี้
🌏ท้ายที่สุดหากเราจะหยุดความเหลื่อมล้ำ หรือลดปัญหาการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศให้ดีขึ้นได้นั้น ทุกคนต้องหันมาเปลี่ยนพฤติกรรมที่สามารถนำไปสู่การอยู่ร่วมกันระหว่างคนรวยและคนจนอย่างมีความสุขบนโลกที่น่าอยู่ขึ้นต่อไปได้อย่างยั่งยืน
ที่มาข้อมูล :
https://t.ly/Xuahq
https://www.seub.or.th/bloging/news/global-news/งานวิจัยชี้-คนรวยคือสาเ/
#เปลี่ยนเพื่อชีวิตที่ดีกว่า #พลังงานสะอาด #กกพ #cleanenergyforlife
Kommentare